eWitholding Tax เรื่องง่ายๆที่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

เรื่องของภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเจ้าของกิจการ พนักงานที่เงินเดือนสูงถึงระดับที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายทุกๆเดือน หรือ Freelance ที่รับงานมาล้ะโดนหัก น่าจะคุ้นเคยกับภาษีตัวนี้เป็นอย่างดีนะครับ โดยในฝั่งผู้จ่ายเงิน แทนที่เราจะจ่ายเงินเต็มจำนวนให้ผู้รับ เราก็จะหักไว้ก่อนตามอัตราที่ทางสรรพากรกำหนด แล้วนำส่งสรรพากรในเดือนถัดไป พร้อมออกหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่ายส่งให้กับทางผู้รับ

จนมาถึงทุกวันนี้ที่เทคโนโลยีพร้อมมากๆเเล้ว ช่วงปลายปี 2563 ตอนนั้นทางสรรพากรก็ได้เริ่มเปิดตัวระบบ eWitholding Tax ขึ้นมาครับ และแน่นอนว่าผู้ประกอบการสาย Tech แบบผมมันต้องลองอยู่เเล้ว ซึ่งกว่าจะใช้ระบบได้ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน

ของ @Paocloud เอง ตอนนั้นมีบัญชีกับ SCB อยู่ เป็น Bank ที่ใช้เป็นหลัก ซึ่งผมก็โทรถามธนาคาร เจอพนักงานที่เค้าเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่สรุปออกมาก็จะได้ว่า

ต้องสมัคร SCB Business Net ก่อน เพราะ SCB Business Anywhere ไม่รองรับ อันนี้ผมก็งงๆกับทาง SCB เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ทำให้ระบบที่ใหม่กว่ารองรับด้วย ซึ่งกว่าผมจะสมัครได้ ก็ต้องเดินทางไปสาขาประมาณ 2–3 รอบอยู่ครับ 5555

พอสมัครผ่านทาง SCB เค้าจะส่ง User , Password มาให้ ตอนนั้นผมก็โทรไปหา Call Center ว่าอยากสมัครระบบนี้ และผมก็โชคดีมากๆ ที่ทาง SCB ติดต่อกลับมาทันที ส่งเอกสารสมัครมาให้ อีกวันนึงผมก็เตรียมเอกสารส่งทาง Kerry Express ให้ทางธนาคารเรียบร้อย

แล้วก็รอประมาณ 1 สัปดาห์ ทาง SCB ก็เเจ้งว่าเค้าเปิดระบบให้เราเเล้ว ผมก็ไม่รอช้าที่จะลองเล่นดูครับ

ของ SCB เอง เนื่องจากมันทำจ่ายผ่าน SCB Business Net ซึ่ง Web UI มันค่อนข้างจะดูโบราณล้ะครับ 555 เเต่ก็พอจะใช้ระบบได้

หลักๆ คือ การทำรายการเข้าระบบ เราต้องมีข้อมูลประมาณนี้ครับ

1. ข้อมูลฝั่งผู้รับเงิน หรือ ผู้ถูกหัก ​ณ ที่จ่าย ก็จะเป็นชื่อบริษัท ที่อยู่ อีเมล เลขประจำตัวผู้เสียภาษี บัญชีธนาคาร
2. ข้อมูลเรื่อง Invoice ที่ทางผู้รับเงินส่งให้เรา เลขที่ Invoice จำนวนเงิน รวม VAT /ไม่รวม VAT วันที่ใน Invoice
3. ข้อมูลการหัก ณ ที่จ่าย หักกี่ % หักกี่บาท หักตามเงินได้ประเภทอะไร หัก ณ ที่จ่ายแบบหัก ออกเเทนครั้งเดียว ออกเเทนตลอดไป

ข้อมูลที่ต้องกรอกก็ประมาณนี้ครับ เยอะอยู่พอสมควร

พอเราจะส่งข้อมูลให้ SCB มันก็จะยิง OTP เข้า SMS ตามปกติเลยครับ เราก็เอาไปกรอก เงินจะเข้าบัญชีปลายทางวันไหน ก็เเล้วเเต่เลยครับ ว่าเราโอนตอนไหน ตอนนี้ผมก็ยังงงๆกับระบบ 555 ถ้าติดวันหยุด จะเลื่อนไปเป็นวันทำการ

พอถึงวันที่ระบบมันจะทำรายการ มันจะหักเงินส่วนที่หัก ณ ที่จ่ายเเล้ว โอนเข้าบัญชีฝั่งผู้รับเงินครับ ซึ่งจะมีเอกสารเเจ้งยอดเข้าบัญชีส่งให้ทางผู้รับเงินด้วย เเต่เราต้องกรอก Email ไว้ อันนี้เราก็ไปขอเมลฝ่ายบัญชี การเงินมาใส่ได้

ณ วันเดียวกันที่ระบบมันทำรายการ ช่วงสี่ทุ่ม ทาง SCB จะหักเงินส่วนที่เป็น หัก ณ ที่จ่าย ส่งให้สรรพากรครับ

และรอไปอีกซักประมาณ 4 วัน เราก็เข้าไปเช็คข้อมูลในสรรพากรได้ครับ จะเช็คได้ทั้งฝั่งผู้หัก และผู้ถูกหัก

และอีกข้อดีคือ เราไม่ต้องวุ่นวายเรื่องทำใบหัก ณ ที่จ่ายครับ ฝั่งผู้ถูกหักก็ไม่ต้องรอ ไม่ต้องมาทวง ไม่ต้องเก็บเอกสาร ดีไปอีก 555

แต่พอใช้มาซักพัก ผมก็เริ่มมองเห็น ข้อดี ข้อเสียของมันครับ ข้อดีก็คือเรื่องที่ผมพูดถึงล้ะ ไม่ต้องออกเอกสาร ทำผ่านระบบเเล้วก็จบเลย

แต่ข้อเสียนี่ซิครับ ที่ผมเจอก็ประมาณนี้

1. ผมว่ามันเหมาะกับการซื้ออะไรแบบที่มี Credit Term มากกว่านะครับ กว่าเงินจะเข้า ถ้าชนวันหยุด มันก็หลายวันไปอีก แต่ไม่เเน่ใจว่าถ้าทำรายการโอนเงินปกติมันจะช้าอีกมั๊ยนะครับ 555 แต่ถ้าซื้อเงินสด โอนทาง Mobile Banking อย่าง SCB Business Anywhere หรือ SCB Easy Profile ธุรกิจ เงินมันเข้าเร็ว
2. ถ้าเรารีบโอน มันไม่เหมาะกับระบบนี้ครับ เพราะต้องกรอกข้อมูลเยอะ อย่างบางครั้งผมอยู่นอกสถานที่ ล้ะมันต้องรีบโอนจริงๆ ก็โอนผ่านระบบปกติ ล้ะค่อยหัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบปกติเอาก็ได้
3. มันยังไม่รองรับการจ่ายเงินผ่านระบบ Bill Payment ลองนึกภาพตามนะครับ สมมุติเราจะจ่ายค่า Cloud รายเดือน ล้ะทาง Cloud Provider ส่ง Invoice มาให้เรา จะมีลิ๊งให้กดชำระผ่าน Bill Payment ซึ่งพอเรากดลิ๊ง มันก็มีให้เราเลือกธนาคารที่เราใช้ เราก็เลือก SCB Business Net ล้ะเราก็ log in เข้าไป กดยืนยันจ่าย ประมาณนี้ครับ ซึ่งมันจะดีมากๆ ถ้ามี Option ให้เลือกด้วย ว่าจะหัก ณ ที่จ่ายด้วยนะ ผมว่าเเบบนี้มันจะสะดวกกับฝั่งผู้จ่ายเยอะเลยครับ เพราะไม่ต้องกรอกข้อมูลอะไรเลยเลือกเเค่ว่าหักกี่ % ไรงี้ แต่ภาระจะตกไปที่ฝั่งผู้รับเงินครับ เพราะต้องเพิ่มข้อมูลอะไรต่างๆ ว่าเงินได้ที่รับ มันประเภทอะไร ต้องหักกี่ %

ข้อเสียที่มี ก็พอเข้าใจได้ครับ ว่าระบบยังใหม่มากๆ แถมคนใช้ระบบ ณ ตอนนี้ ผมว่าก็ไม่น่าจะมีเยอะ 555 ก่อนหน้านี้ผมรีวิวระบบในกลุ่มบัญชีไป ก็มีหลายๆคนสนใจ